Surface Pro 7+ | Pro 8 โปรแบบไหนที่ใช่สำหรับคุณ? Pro แบบคลาสสิก vs Pro ที่ทรงประสิทธิภาพที่สุด

จะหาอุปกรณ์ทำงานตัวใหม่ดีๆ สักตัว ก็อยากได้อะไรที่ตอบโจทย์การใช้งานทุกด้านสักหน่อย ไหนจะไลฟ์สไตล์ของคนในยุคนี้ที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบ ใช้ชีวิตแบบคล่องตัว ซึ่งอุปกรณ์ที่จะตอบโจทย์นี้ก็ต้องมากับขนาดที่บางและน้ำหนักที่เบา พกพาไปไหนมาไหนง่าย แบตเตอรี่เองก็สำคัญไม่แพ้กัน เวลาออกไปทำงานนอกสถานที่จะได้ไม่ต้องคอยกังวลว่าจะมีปลั๊กให้เราเสียบชาร์จแบตหรือเปล่า แน่นอนจะขาดเทคโนยีดีๆ ฟีเจอร์ล้ำๆ ที่จะเข้ามาช่วยให้เราสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ได้ง่ายมากขึ้น แบบลื่นไหลและแม่นยำไปไม่ได้เลย

และเราก็มีอุปกรณ์ดีๆ ที่อยากจะแนะนำมาฝากกัน กับ Surface Pro 7+ และ Surface Pro 8 อุปกรณ์ 2-in-1 ที่เป็นทั้งแท็บเล็ตและแล็ปท็อปในเครื่องเดียว กับดีไซน์พรีเมียมและคุณภาพที่การันตีโดยชื่อเสียงของ Microsoft แต่เอ.. เป็น Surface Pro เหมือนกัน มองดูแล้วหน้าตาก็คล้ายกันมากๆ อีก จะมีอะไรต่างกันบ้างล่ะเนี่ย บอกเลยว่ารีวิวนี้มีคำตอบ ถ้าพร้อมแล้วตามมาดูกันว่าแต่ละตัวจะ Pro ได้สมชื่อขนาดไหน เหมาะกับสายไหน จะได้เลือกกันได้ตรงใจ ตรงตามการใช้งานที่สุด

 

ดีไซน์พรีเมียม พกพาสะดวก พร้อม Pro ได้ทุกที่ทุกเวลา

แน่นอนว่าเรื่องแรกที่เราจะพูดถึงกันก็คงหนีไม่พ้นกับดีไซน์ภายนอก เพราะเรื่องของดีไซน์มีมากกว่าความสวยงาม ทั้งความสะดวกสบาย ความง่ายต่อการใช้งาน ไหนจะมีผลต่อความคล่องตัวต่อการพกพาไปใช้งานข้างนอกอีก เรียกได้ว่าต้องบางเบา พกพาง่าย ถึงจะตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ได้ดีที่สุด 

รูปลักษณ์ภายนอกของ Surface Pro 7+ และ Surface Pro 8 ไม่ได้มีความแตกต่างกันมากนัก ด้วยดีไซน์เรียบหรู ดูพรีเมียม เหมาะกับสายที่อยากได้อุปกรณ์ที่ช่วยเสริมลุค บ่งบอกความมีสไตล์ของผู้ใช้งาน โดย Surface Pro 7+ มากับขนาดความบาง 8.5 มม. และมีน้ำหนักเริ่มต้นแค่ 770 กรัมเท่านั้น วัสดุตัวเครื่องเป็นแมกนีเซียมอัลลอย

ขณะที่ Surface Pro 8 ใช้วัสดุตัวเครื่องเป็นอลูมิเนียมอัลลอยด์ หนัก 891 กรัม กับความหนาที่มากกว่าเล็กน้อยที่ 9.3 มม. เป็นขนาดที่สะดวกต่อการพกพา ใส่กระเป๋าได้สบายๆ ไม่เกะกะเลย 

แน่นอนว่าทั้งสองรุ่นยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ความ Pro ของ Surface กับการมาพร้อมขาตั้ง Kickstand ในตัว ปรับได้ตามการใช้งานเพราะกางออกได้เกือบ 180 องศา สายเสพคอนเทนต์ทั้งหลายก็สามารถปรับกางในระดับที่เหมาะกับสายตาได้ ขณะเดียวกันสายดีไซน์ที่เน้นทำกราฟิก ปรับแต่งภาพใน Photoshop วาดรูป หรือแม้แต่นักเรียน-นักศึกษาที่ต้องเลคเชอร์ จดโน๊ตในคลาสเรียนเป็นประจำ ก็สามารถปรับกางในระดับที่น้อยกว่า เพื่อดันให้หน้าจอสูงขึ้นมา พอวางลงบนโต๊ะแล้วก็จะอยู่ในระดับที่พอดีกับมือเลยล่ะ เป็นเอกลักษณ์ของ Surface ที่ตอบโจทย์การใช้งานของทุกสายได้อย่างดีเยี่ยมเลย

ส่วนใครที่พิมพ์งานเยอะๆ เน้นทำงานด้านเอกสาร ใช้งานแอป Office ทั้งหลาย ก็ยังมี Surface Pro Signature Type Cover ให้ได้เลือกใช้งานเพิ่มอีกด้วย

 

จอสัมผัส PixelSense จะรับชม หรือวาดเขียน ก็ลุยได้แบบมือ Pro

ไปต่อกับหน้าจอกันเลย ต้องบอกว่ามองแว้บเดียวก็เห็นได้ถึงความแตกต่างแล้วว่า Surface Pro 8 มีขอบจอด้านข้างที่บางกว่า Surface Pro 7+ อย่างเห็นได้ชัด

 

ซ้าย : Surface Pro 7+ | ขวา : Surface Pro 8

Surface Pro 7+ มากับหน้าจอ PixelSense ขนาด 12.3 นิ้ว ความละเอียด 2736×1824 (267 PPI) ขณะที่ Surface Pro 8 เป็นหน้าจอที่ใช้เทคโนโลยีใหม่อย่าง PixelSense Flow ขนาด 13 นิ้ว ความละเอียด 2880×1920 (267 PPI) ซึ่งทั้ง 2 รุ่นเป็นหน้าจอระบบสัมผัส Multi-Touch 10 จุด และมีอัตราส่วนกว้างยาว 3:2 ที่เป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ของ Surface เหมือนกัน เพิ่มเติมคือในรุ่น Surface Pro 8 นั้นมีรีเฟรชเรทสูงสุด 120Hz รวมถึง Adaptive Color และรองรับ Dolby Vision ด้วย

ด้านการใช้งานวาดเขียน และจดบันทึก Surface Pro 7+ และ Surface Pro 8 นั้นรองรับการใช้งานร่วมกับ Surface Pen ทั้งคู่ แต่ปากกาใช้คนละรุ่นนะ ใช้ร่วมกันไม่ได้ อย่าง Surface Slim Pen 2 ที่ใช้ร่วมกับ Surface Pro 8 ก็ถูกอัปเกรดให้สามารถใช้งานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ให้ความรู้สึกเหมือนใช้ปากกาเขียนลงบนแผ่นกระดาษเลย ไม่ว่าจะจดโน๊ต ไฮไลท์ข้อความ หรือวาดรูปก็ตามก็ทำได้อย่างแม่นยำ

ใครที่เป็นสายครีเอเตอร์หรือเหล่าคอหนังที่อยากได้หน้าจอที่ให้ภาพคมชัดสมจริง เน้นวาดรูปจัดๆ แนะนำว่าจัดรุ่น Surface Pro 8 ไปเลยจะดีกว่า แต่ใครที่ไม่ได้เน้นหน้าจอมาก ใช้ทำงาน ใช้เรียนเฉยๆ ว่างๆ ก็ดูคอนเทนต์บ้าง Surface Pro 7+ ก็อยู่ในระดับที่กำลังดีเหมือนกัน 

 

Pro ยิ่งกว่าด้วย Windows 11 ทำทุกสิ่งได้อย่างไรขีดจำกัด

ไม่ว่าจะ Surface Pro 7+ หรือ Surface Pro 8 ต่างก็ทำงานบน Windows 11 Home ระบบปฏิบัติการใหม่ล่าสุดจาก Windows ที่เต็มไปด้วยความสามารถใหม่ๆ ฟีเจอร์ล้ำๆ ที่ช่วยให้เราทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น แถมยังง่ายกว่าเดิมอีก

ทั้งแถบ Widget ที่รวมข่าวสาร สภาพอากาศ และเรื่องอื่นๆ ที่คุณสนใจเอาไว้ สามารถปรับแต่งได้ตามใจ ไหนจะ Windows Snap ตัวช่วยจัดเรียงหน้าต่าง ที่สาย Multitasking ทำหลายอย่างในเวลาเดียวกัน หรือชอบเปิดใช้หลายๆ แอปแบบเราต้องชอบแน่นอน ลืมภาพจำที่ต้องคอยจัดเอง ย่อขยายหน้าต่างไปมาแบบเมื่อก่อนไปได้เลย แค่กดปุ่มโลโก้ Windows บนแป้นพิมพ์ + ลูกศรซ้ายหรือขวา ก็เป็นอันจบ หรือจะนำลูกศรชี้ไปยังปุ่มย่อ-ขยายหน้าต่างค้างไว้ จากนั้นก็เลือกรูปแบบที่ต้องการบน Pop-up ที่ขึ้นมาได้เลย

ยังมี Microsoft Teams แอปเพื่อการติดต่อสื่อสาร ที่ใช้ได้ทั้งโทร แชท วิดีคอลก็ติดตั้งมาให้เรียบร้อย เข้าถึงได้ง่ายในคลิกเดียว ทั้งหมดนี้เป็นแค่ตัวอย่างความสามารถของ Windows 11 เท่านั้น ยังมีอีกหลายความเจ๋งให้ได้ลองใช้กันอีกเยอะเลยล่ะ

 

ขุมพลัง Intel Core สมรรถนะระดับ Pro เพื่อการทำงานในทุกวัน

ดีไซน์ก็พูดถึงไปแล้ว หน้าจอและระบบปฏิบัติการก็เรียบร้อย จะพลาดเรื่องของสเปกภายในไปได้ยังไง Surface Pro 7+ และ Surface Pro 8 ใช้โปรเซสเซอร์ตัวแรง Intel Core 11th Generation โดย Surface Pro 7+ มีให้เลือก 2 สเปก เป็น Intel Core i3-1115G4 และ Intel Core i5-1135G7 ส่วน Surface Pro 7+ ก็มี 2 ซีพียูให้เลือกเช่นกัน Intel Core i5-1135G7 และ Intel Core i7-1185G7 ซึ่งในรุ่น i5 และ i7 จะใช้ตัวกราฟิกเป็น Intel Iris Xe ขณะที่ i3 ใช้ Intel Iris UHD Graphics นอกจากนี้ Surface Pro 8 ยังเป็น Surface Pro รุ่นแรกที่สร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม Intel Evo อีกด้วย และอย่าที่เรารู้กันดีว่าถ้าเห็นสัญลักษณ์นี้ที่อุปกรณ์ตัวไหนก็มั่นใจในสมรรถนะได้เลย

ใครที่ทำงาน Multitasking เยอะๆ หน่อย ต้องการกราฟิกเน้นๆ ประสิทธิภาพการประมวลผลเทียบเท่ากับการ์ดจอแยกบางตัว ก็แนะนำรุ่นที่สเปกเป็น i5 และ i7 ไปเลย แต่ถ้าใช้งานในระดับพื้นฐานทั่วไป เป็น Surface Pro 7+ รุ่น i3 ก็เอาอยู่ เหมาะกับสายประหยัดด้วย 

ทีนี้ไปดูสเปกอื่นๆ กันบ้าง เริ่มที่แบตเตอรี่ Surface Pro 7+ ใช้งานในระดับปกติได้นานต่อเนื่อง 15 ชั่วโมง ส่วน Surface Pro 8 แบตเตอรี่อึดกว่าเล็กน้อย ใช้ได้นาน 16 ชั่วโมง ซึ่งต่างกันแค่ 1 ชั่วโมงเท่านั้น และไม่ว่าจะ 15 หรือ 16 ชั่วโมงก็เพียงพอต่อการใช้แบบเหลือๆ ตลอดทั้งวันแน่นอน การเชื่อมต่อแบบมีสาย Surface Pro 8 ให้พอร์ต Thunderbolt 4 มา 2 ช่อง ส่วน Surface Pro 7+ จะใส่ USB-C และ USB-A มาให้อย่างละ 1 ช่อง ขณะที่การเชื่อมต่อแบบไร้สายทั้งสองตัวรองรับการใช้งาน Wi-Fi 6 พร้อม Bluetooth 5.1 ใน Surface Pro 8 และ Bluetooth 5.0 ใน Surface Pro 7+ ถือว่าครบครันทั้งสองรุ่นเลย

 

ความคุ้มค่าอย่าง Pro ที่ควรเป็นเจ้าของ

ไม่ว่าจะ Surface Pro 7+ ตัว Pro แบบคลาสสิก หรือ Surface Pro 8 รุ่น Pro ที่ทรงประสิทธิภาพที่สุด ต่างก็อัดแน่นไปด้วยความล้ำที่มีให้เลือกหลายสเปกตามไลฟ์สไตล์การใช้งาน จะสายเรียน สายทำงานเอกสาร สายครีเอเตอร์ สายวาดภาพ หรือสายบันเทิงคอหนัง ทั้งสองรุ่นต่างก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว ที่สำคัญเป็นเจ้าของความ Pro ทั้งสองรุ่นตอนนี้รับข้อเสนอพิเศษไปเลย ทั้งลด ทั้งแถม ไหนจะผ่อนสบาย 0%* ได้อีก

Surface The Most Powerful Pro | Surface Pro 8 และ Surface Pro 7+ แถมฟรี! คีย์บอร์ดคู่ปากกาพร้อมแลกซื้อ Office 365 Personal ในราคาเพียง 999.- พร้อมผ่อนสบาย 0% สูงสุด 24 เดือน เมื่อช้อปที่ร้านบานาน่า ตั้งแต่วันนี้ – 30 มิ.ย. 65 เท่านั้น

• Surface Pro 8 สำหรับรุ่นความจุ SSD 256GB ขึ้นไป
  รับฟรี Keyboard Type Cover with Pen มูลค่า 9,990.- และ Microsoft Home & Student 2021 มูลค่า 4,390 บาท
• Surface Pro7+ ทุกรุ่น
  รับฟรี Keyboard Type Cover + Pen M1776 รวมมูลค่า 11,180.-

รายละเอียดเพิ่มเติม คลิก https://bit.ly/3yd3cQl